คราวนี้ @redlovetree มีโอกาสไปถึงแผ่นดินเหนือสุดของประเทศญี่ปุ่นมา ทั้งแนวเส้นละติจูดและลองติจูด
พูดไปแล้วหลายคนอาจจะ งง ถ้าให้อธิบายง่ายๆก็คือ แผ่นดินที่อยู่เหนือสุดของประเทศญี่ปุ่นด้านทิศเหนือ คือแหลมโซยะ (Soya cape) จุดนี้มีนักท่องเที่ยวไปมากอยู่แล้ว แต่สำหรับนักท่องเที่ยวไทยยังถือว่าน้อย และจุดที่อยู่เหนือสุดทางฝั่งตะวันตกของประเทศญี่ปุ่นอยู่ที่ เกาะริชิริ คือแหลมสุโคตง (sukoton cape)
blog เดียวจบ สามารถจัดโปรแกรมตามนี้ได้ เที่ยวสบายๆไม่รีบ 3วัน2คืน
เราออกเดินทางจากสนามบินฮาเนะดะ (Haneda Airport) บินตรงไปลงที่สนามบินวัคคะไน (Wakkanai Airport) ใช้เวลาสองชั่วโมง แล้วก็นั่งรถบัสจากสนามบินไปที่ท่าเรือวัคคะไน
(เพราะเราจะนั่งเรือไปที่เกาะเรบุนกันก่อน วันรุ่งขึ้นเราจะไปเกาะริชิริและกลับมาเที่ยววัคคะไนวันสุดท้ายค่ะ)
จากสนามบินนังรถบัสมาที่ท่าเรือเฟอรี่ประมาณ 35นาที ค่ารถ 590เยน
ถ้าจากสถานีรถไฟ JR สถานี wakkanai เดินมา 15นาทีหรือแท็กซี่มา 500เยนนิดหน่อย
ท่าเรือมีเคาเตอร์พนักงานไปบอกเค้าได้ค่ะว่าปลายทางจะไปไหน เวลาเรือออกกี่โมง แต่ถ้าคิวยาวมีตู้ขายตั๋วมีภาษาอังกฤษค่ะ ด้านหลังของเคาเตอร์จะมีบอร์ดแจ้งเวลาเรือออก และก็มีร้านสะดวกซื้ออยู่ที่นี่ จะรอเรือออกที่ชั้นล่างหรือชั้นสองก็ได้มีที่นั่งเยอะมาก
นี่คือเรือที่เราจะใช้โดยสารข้ามไปเกาะเรบุนในวันแรกค่ะ เนื่องจากใช้เวลาประมาณ 2 ชั่วโมง เลือกจองที่นั่งชั้นหนึ่งเลยจะมีที่นั่งแน่นอน แต่สำหรับคนที่ไม่อะไรมากที่นั่งประเภทชั้นสองก็ได้ นั่งที่โล่งกลิ้งเล่นนอนเล่นได้เลย ซึ่งขากลับเราก็นั่งแบบชั้นสองกลับมา นอนสบายยยย ~ ยืดแข้งยืดขาได้
ด้านนอกของเรือออกไปยืนสูดอากาศได้ ก่อนออกจากท่าเรือมองเห็น Breakwater Dome แนวกำแพงที่เอาไว้กั้นคลื่นลมแรงที่นี่เป็นจุดถ่ายรูปของหลายๆคน (วันกลับเราแวะมาที่นี่อีกครั้ง)
*ลืมบอกไปว่าเราออกจากท่าเรือวัคคะไน ไปลงที่ท่าเรือคะฟุกะ (Kafuka Ferry Pier)
วันแรกเราไปถึงค่อนข้างเย็นมากแล้ว จึงเช็คอินเข้าโรงแรมแล้วไปแช่ออนเซนเลย พร้อมกับมื้อเย็นของโรงแรม ซึ่งโรงแรมก็อยู่ด้านหน้าท่าเรือ วิวจากห้องนอนก็สวยมากใช้ได้เลยทีเดียวหละ โรงแรมที่เราพักคือ Hotel Rebun
เช้าวันรุ่งขึ้นเราออกเดินทางลุยเกาะเรบุนกันตั้งแต่เช้าเลย อากาศดีแต่ฟ้าครึ้ม ซึ่งตรงกับช่วงที่พายุกำลังพัดเข้าทางอื่นของประเทศญี่ปุ่น วิวจากหน้าต่างห้องตอนเช้าและมื้อเช้าที่โรงแรม
ไปกันที่แหลมสุไกกันก่อนค่ะ แหลมนี้เห็นจากในโปสเตอร์มานานแล้วอยากไปเห็นด้วยตาสักครั้ง
คำว่า สุไก (Sugai) แปลตรงตัวว่า “ทะเลใส” น้ำทะเลสีสวยมากๆเป็นลักษณะคล้ายอ่าว
ที่นี่เป็นอุทยานแห่งชาติของเกาะเรบุน-ริชิริและเขตอื่นๆรวมกัน ช่วงหน้าร้อนของที่นี่จะมีดอกไม้หายากนานาพันธุ์ที่บานสะพรั่ง นักท่องเที่ยวมักจะมาชมดอกไม้หน้าตาแปลกๆกันที่นี่ขึ้นสลับสีกันไปมาและสามารถเดินเขา trekking ได้มีให้เลือกหลายเส้นทาง
ออกเดินทางไป แหลมสุโคตง (sukoton cape) กันค่ะ ที่นี่เป็นจุดเหนือสุดของประเทศญี่ปุ่นทางฝั่งตะวันตก หรือตามเส้นละติดจูดแนวนอน แหลมสุโคตงก็เป็นหนึ่งในอุทยานแห่งชาติเช่นเดียวกันค่ะ
มาถึงที่นี่แล้วมันก็คือที่สุด อย่าลืมไปเข้าห้องน้ำที่อยู่เหนือสุดทางฝั่งตะวันตกของญี่ปุ่น ชิมไอศกรีมคอมบุ (คอมบุ เป็นสาหร่ายทะเลประเภทหนึ่งที่คนญี่ปุ่นนิยมนำมาประกอบอาหาร ซึ่งที่วัคคะไนมีชื่อเสียงมากเรื่องความอร่อย)
และก็อย่าลืมเก็บตราประทับจากที่นี่ว่าเราได้มาถึงแล้ว เจ้าหน้าที่จะประทับวันเดือนปีให้เราด้วยค่ะ
ช่วงที่เราไปอากาศค่อนข้างเย็นแต่ยังไม่หนาว (ปลายเดือนกันยายน) แต่ว่าที่แหลมแต่ละที่ลมค่อนข้างแรงมาก ทำให้รู้สึกหนาวแล้วก็ หัวฟูมากมาย ~
สถานที่ต่อไปเราไปตามรอยหนังเรื่องหนึ่งของญี่ปุ่น ถ้าคนไม่อินก็ไม่ค่อยน่าสนใจเท่าไหร่ เราก็เป็นหนึ่งในนั้นนะ ได้ดูหนังเรื่องนี้ตอนนั่งเรือมาเป็นครั้งแรกหละ ก็จะเห็นวิวต่างคุ้นตาจากหนังเรื่องนี้บ้าง Kita no kanaria tachi (2012)
เป็นเรื่องราวของครูที่ไปสอนเด็กประถมที่นี่ แล้วอยู่ๆครูก็หายไป เวลาผ่านไปหลายปี ครูคนนี้ต้องกลับมาที่โรงเรียนนี้อีกครั้งเพราะเกิดเหตุการณ์บางอย่าง ดารานำของหนังเรื่องนี้เป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงในญี่ปุ่น แล้ว location ที่ใช้ถ่ายหนังก็ไม่ได้ถูกรื้อทิ้งไป ยังคงไว้ให้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว *ถ้าไม่ได้ดูหนัง แค่แวะมาถ่ายรูปก็สวยแล้ว ที่นี่เป็นโรงเรียนประถมของเด็กนักเรียนญี่ปุ่น โรงเรียนที่เกาะแห่งนี้มีไม่กี่แห่ง และจำนวนนักเรียนต่อโรงเรียนก็ประมาณสิบคนเท่านั้นเอง
ถ้าวันที่อากาศดีจากโรงเรียนจะมองเห็นเกาะริชิริและภูเขาริชิริได้ชัดเลย
ครึ่งวันหลังเราออกเดินทางไปอีกเกาะนึงค่ะ คือเกาะริชิริ ที่นี่มีสถานที่ท่องเที่ยวค่อนข้างเยอะและเป็นที่รู้จักมากกว่า ไปกับเรือลำเดิมแต่เป็นตั๋วเรือแบบชั้นสองค่ะ ยืดขาสบาย~ จากเกาะเรบุนไปเกาะริชิริ ใช้เวลาแค่ 40นาทีโดยเรือ
จุดแรกที่เราไปหาคือ Otatomarinuma Pond พูดชื่อไปก็จำไม่ได้แต่ถ้าบอกว่า จุดนี้หละที่จะมองเห็นภูเขาที่อยู่ในรูปแพคเกจขนมชื่อดังที่เหล่านักท่องเที่ยวไทยนิยมซื้อกันค่ะ
“Shiroi Koibito”
ต้องไปวันอากาศดีๆนะถึงจะได้เห็น เราไปวันฝนตกพายุเข้า มืดเลยยยย
รูปจากเวบไซด์ http://www.welcome.wakkanai.hokkaido.jp
ซึ่งที่นี่เราก็ได้เครื่องดื่มช็อกโกแลตกลับมาเป็นของฝากด้วย ส่วนตัวเพิ่งเคยเห็นเลยไม่แน่ใจว่ามีขายทั่วไปรึเปล่านะ
ขึ้นรถต่อไปที่ Senpoushimisaki Park ที่นี่นอกจากเป็นสวนเล็กๆชมดอกไม้แล้ว ทะเลใสมากที่สำคัญทุกปีที่นี่จะมีแมวน้ำที่ข้ามมาไกลจากฝั่งรัสเซียมาอาศัยอยู่ด้วยค่ะ มากันเองมาอาศัยอยู่แบบธรรมชาติหลายร้อยตัว ตอนที่เราไปมีแมวน้ำแม่ลูกอ่อนว่ายน้ำเล่นอยู่ สู้กล้องน่าดูว่ายไปว่ายมาให้ชมหลายรอบไม่กลัวคนเลยด้วย
และที่เด็ดเลยจากตรงนี้แหลม Kutsugata จะมองเห็นประเทศรัสเซียแบบใกล้ๆเลย ระยะทางจากตรงนี้ไปรัสเซียก็ห่างแค่ 108กิโลเมตรเท่านั้น (กลับโตเกียวตั้ง 1,045กิโลเมตร ไกลกว่าตั้งเยอะ)
ระหว่างทางรถจอดให้ถ่ายรูปแต่ไม่ให้ลงไปเพราะถนนแคบมากจึงให้ถ่ายรูปจากในรถ (รูปเลยฟ้ามาก)
เป็นหินที่มีลักษณะแปลกตาคล้ายกับหมีนอนและใบหน้าคน เค้าจึงตั้งชื่อให้ว่า …
หินหมีนอน 555~
ใกล้ๆกันเป็น “หินเป็นรูปใบหน้าคน…หล่อด้วยนะนั่น”
คืนนี้จริงๆมีทัวร์ดูดาวตอนกลางคืนหลังอาหารเย็นด้วย แต่ว่างดเพราะฝนตกตั้งแต่ตอนเย็น
โรงแรมที่พักคืนนี้ ของเราได้ห้องแบบผสมทั้งห้องเตียงและห้องเสื่อ แบบนี้ที่ญี่ปุ่นเรียกว่า wa-yo shitsu
ที่ห้องจะมีป้ายบอกว่า คืนนี้ที่โรงแรมเปิดแอร์เย็น หรือ ฮีทเตอร์(แอร์ร้อน) เพราะระบบปรับอากาศควบคุมจากที่เดียว
http://www15.plala.or.jp/fujikan/room.html
และก็แน่นอนว่าที่นี่ก็มีออนเซน บอกกันอีกที
ออนเซนในญี่ปุ่นหลายที่จะสลับบ่อชาย-หญิงกัน แบ่งเป็นเวลา ดังนั้นจำห้องซ้ายหรือขวาไม่ได้นะ แนะนำให้จำสีของม่านค่ะ ส่วนมากเลยห้องของผู้ชายสีน้ำเงินและของผู้หญิงจะเป็นสีแดงหรือชมพูค่ะ
กลางคืนฝั่งซ้าย เช้าอาจจะเปลี่ยนฝั่งมาทางขวาก็ได้ 😉
เช้านี้เราต้องตื่นตีสี่ เพราะมีทัวร์ไปเดินรอบเมือง Kutsugata ค่ะ ไกด์ท้องถิ่นคนญี่ปุ่นสองคนแบ่งคนติดตามหรือลูกทัวร์เป็นกลุ่มเล็กๆ เพื่อที่จะฟังบรรยายได้อย่างทั่วถึง
เมืองนี้สวยและรวยมาก จริงๆ ไกด์บอกว่าแค่เสาไฟที่ประดับอยู่ตลอดทางก็ต้นละ หนึ่งล้านเยน!! ซึ่งมันมีไปตลอดทางเลย
ที่เมืองนี้เคยถูกไฟไหม้ใหญ่มาช่วงยุคสมัยโชวะที่ 32 ไฟไหม้บ้านเรือนแถวนี้ไปทั้งหมด 226 หลังคาเรือนเลยทีเดียวแล้วก็ได้รับการสร้างขึ้นมาใหม่
ฝาท่อ เก็บเป็นที่ระลึกทุกที่ที่ไปมา
ไกด์อธิบายแต่ละจุดที่น่าสนใจให้ฟังพร้อมกับหยิบรูปสมัยก่อนมาให้ดู อย่างตรงนี้ไกด์ก็บอกว่าเคยเป็นท่าเรือที่คนพลุกพล่านมาก การซื้อขายคึกคัก พอหน้าหนาวหิมะก็ตกหนักมากจนขาวโพลนไปหมดทั้งท่าเรือ ที่เกาะริชิริ มีสินค้าขึ้นชื่อคือ อุนิ (หรือที่คนไทยรู้จักกันในชื่อ ไข่หอยเม่น และ คอมบุ) ที่จะมีโรงงานแยก ตาก แปรรูปคอมบุก่อนส่งไปขายทั่วประเทศ
จากการสังเกตด้วยตัวเองมาสองวัน บ้านเรือนของคนที่นี่มีประตูสองชั้นทุกบ้านเลย เดาเอาว่าลมแรงมากเพราะเป็นเกาะและหน้าหนาวก็หนาวสุดๆเพราะอยู่เหนือขนาดนี้ (ซึ่งวันสุดท้ายไกด์ก็มาตอบว่า “ที่เดาน่ะ ถูกต้องแล้วค่ะ”
เพราะว่าวันสุดท้าย ระหว่างทางเราเห็นปักธง “ขับขี่รถปลอดภัย” ไปตลอดทางซึ่งเมืองอื่นๆเค้าไม่ต้องติดไปตลอดทางแบบนี้ ไกด์บอกว่านี่คือสัญลักษณ์นึงที่บอกว่า “เกาะริชิริ เป็นเกาะที่มีลมแรงตลอดทั้งปี ให้สังเกตจากผ้าที่พัดไปมาจนหลุดลุ่ย”
เป็นวันสุดท้ายก่อนบินกลับโตเกียว ขากลับจากเกาะริชิริ มา ที่วัคคะไน เรานั่งเรือลำเดิมตั๋วแบบชั้นสองนอนหลับมาตลอดทาง เพราะตื่นตั้งแต่ตีสี่ หลังจากถึงที่วัคคะไนเราต้องเก็บอีกสองสถานที่หลักๆ คือ จุดเหนือสุดของประเทศญี่ปุ่นแนวตั้ง และ สวนวัคคะไนที่เป็นจุดชมวิวตั้งอยู่ในระดับสูง
มาถึงท่าเรือวัคคะไน แวะไปที่นี่ก่อนค่ะ Breakwater Dome แนวกำแพงกันคลื่นลมสูงถึง 13เมตร ลักษณะเป็นโดมทรงโค้ง เสาก็มีรูปแบบที่สวยงามแบบโรมัน ถ้าขาออกหรือขาไป ก่อนไปเกาะมีเวลารอเรือนานก็แวะมาถ่ายรูปที่นี่กันก่อนได้เลย
สวนวัคคะไน ที่เราไปแล้วฝนตกก็เลยได้แต่ถ่ายรูปจากในรถ ที่นี่มีรูปปั้นที่ระลึกถึงบุคคลและสัตว์เลี้ยงด้วยค่ะ อย่างเช่นหมาจิโร่และทาโร่ ที่เป็นส่วนนึงของการไปพิชิตดินแดนขั้วโลกใต้ และอนุสาวรีย์ต่างๆ ที่นี่มีจุดชมวิวที่สวยงามที่นักท่องเที่ยวต่างมาถ่ายรูปกันที่นี่เพราะสามารถมองเห็นวิวเมืองวัคคะไนแบบกว้างและท่าเรือด้วย
ระหว่างทางไปแหลมโซยะ ที่นี่หลายคนคุ้นชื่อและรู้จักกันดีเพราะว่าเป็นจุดเหนือสุดของประเทศญี่ปุ่นตามแนวตั้ง (หรือเส้นลองติจูด) มีอนุสาวรีย์ต่างๆมากมาย ที่ฟังไกด์เล่าแล้วไม่รู้จักเลยค่ะ 55~
จากรูปด้านล่างตรงรอยต่อของเขา ที่เป็นรูปสามเหลี่ยมตรงนั้น ถ้าวันที่ฟ้าเปิดหรืออากาศดีจะได้เห็นประเทศรัสเซียค่ะ
จุดส่งสัญญาณของกองกำลังปกป้องตนเองของญี่ปุ่นที่อยู่เหนือสุดของประเทศตั้งบัญชาการอยู่ที่นี่
ภารกิจสุดท้ายก่อนกลับโตเกียวและเกือบตกเครื่อง คือการมาให้ถึงอนุสาวรีย์สามเหลี่ยมแห่งนี้ค่ะ
“แหลมโซยะ”
จากตรงนี้ระยะทางไปถึงรัสเซียแค่ 43 กิโลเมตรเท่านั้น! ตรงนี้ลมแรงมากและหนาวมาก วันนั้นอากาศไม่ค่อยดีแต่ก็ได้เห็นประเทศรัสเซียแบบใกล้ๆค่ะ
อย่าลืมเข้าห้องน้ำที่จุดเหนือสุดของประเทศญี่ปุ่นนะคะ
แล้วก็ตราประทับพร้อมลงวันที่ว่ามาถึง “แหลมโซยะ” แล้วค่าาาาาา
เป็น blog ที่ยาวมากอีกตอน แต่ขอบคุณที่อ่านมาถึงตรงนี้จบจนได้ …
((หมดเขตร่วมกิจกรรมแล้วนะคะ))
รอบนี้ไม่ได้ให้อ่านเฉยๆ แคตโตะมีของมาฝากสำหรับ “สองท่านเท่านั้น”
และต้องเป็นสองท่านที่ตอบคำถามสองข้อนี้ถูกนะคะ
จะส่งของรางวัลให้จากประเทศญี่ปุ่นเลย
คำถามค่ะ
1. แคตโตะไปที่เกาะชื่ออะไรบ้าง ตอบให้ครบ “สองเกาะ” นะคะ (ตอบได้ทั้งชื่อภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษค่ะ)
2. จุดเหนือสุดของประเทศญี่ปุ่นทั้งแนวตั้งและแนวขวาง (ทางฝั่งทิศตะวันตก) ชื่ออะไร ตอบให้ครบ “สองแหลม” นะคะ(ตอบได้ทั้งชื่อภาษาไทยหรือภาษาอังกฤษค่ะ)
ของรางวัลหนึ่งชุดจะประกอบด้วย
1. ใบ certificate จากแหลมโซยะ พร้อมลงตราประทับวันที่และเวลา ซึ่งเป็นวันเดียวกับที่แคตโตะไปถึง จำนวน 1ใบ
2.พวงกุญแจที่ระลึกเป็นมาสคอทชื่อ อะทสึมง (Atsumon) จากเกาะเรบุน จำนวน 1ชิ้น
*ส่งตอบได้ที่คอมเม้น (comment) ด้านล่างของ blog นี้ได้เลยค่ะ
**ปิดรับคำตอบวันอังคารที่ 14 ตุลาคมเวลา 12:00 (เวลาไทย)
***ถ้าตอบถูกมากกว่าสองท่านจะทำการสุ่มจับฉลากและจะประกาศผลที่ Fanpage www.facebook.com/redlovetree คืนวันอังคารที่ 14 ตุลาคมเวลา 20:00 (เวลาไทย)